วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความหมายและลักษณะขององค์ประกอบทักษะชีวิต

ความหมายและลักษณะขององค์ประกอบทักษะชีวิต
องค์ประกอบทักษะชีวิตทั้ง 12 ประการของกรมสุขภาพจิตมีรายละเอียดของความหมายและลักษณะในแต่ละองค์ประกอบทั้ง 12 องค์ประกอบดังต่อไปนี้
องค์ประกอบที่ 1 ความคิดสร้างสรรค์ (creative thinking)
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่ภายในตัวของคนทุกคน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไป มีผู้ให้ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ไว้หลากหลายดังนี้
กรมสุขภาพจิต (2543 : 1) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการคิดออกไปอย่างกว้างขวางโดยไม่ยึดติดอยู่ในกรอบ
องค์การอนามัยโลก (1997 : 2) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์มีส่วนสนับสนุนในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาในการค้นหาทางเลือกต่างและผลที่เกิดขึ้นในแต่ละทางเลือก ถึงแม้ว่ายังไม่มีการตัดสินใจและแก้ปัญหาก็ตามความคิดสร้างสรรค์ยังช่วยให้บุคคลสามารถนำประสบการณ์ที่ผ่านมามาใช้ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
ธนพัชร แก้วปฏิมา (2547 : 17) กล่าวว่า เป็นความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ข้อมูลจากประสบการณ์ ในประเด็นการหาทางเลือกหรือหาทางออกของการตัดสินใจและแก้ปัญหาเกี่ยวกับสื่อเทคโนโลยีและสารเสพติดด้วยมุมมองที่หลากหลาย ตลอดจนสามารถคาดการณ์ผลกระทบอันเกิดจากทางเลือกนั้นเพื่อหาทางแก้ไขเป็นความสามารถในการคิดอย่างยืดหยุ่นหากต้องเจอสถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
วันดี โต๊ะดำ (2547 : 15) กล่าวว่า เป็นความสามารถของบุคคลในการคิดอย่างหลากหลาย แปลกใหม่ และที่เป็นตัวตนของตัวเองและส่วนรวม
ศรีสุรางค์ ทีนะกุล (2542 : 12) กล่าวว่า เป็นความสามารถที่มีอยู่ในตัวบุคคลเป็นลักษณะความคิดแปลกใหม่ ไม่ลอกเลียนแบบ มีลักษณะที่เป็นตัวของตัวเองซึ่งอาจเกิดจากความคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากความคิดเดิมให้เป็นความคิดที่แปลกใหม่ และแตกต่างจากความคิดเดิมเป็นงานที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการคิดกว้าง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดออกนอกกรอบ สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์สิ่งต่างๆทำให้เกิดความคิดใหม่ๆสำหรับตอบสนอง ปรับตัวและยืดหยุ่นต่อสิ่งเร้าในชีวิตประจำวันได้
องค์ประกอบที่ 2 ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ (critical thinking)
กรมสุขภาพจิต (2543 : 1) กล่าวว่า ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์เป็นความสามารถที่จะวิเคราะห์แยกแยะข้อมูลข่าวสาร ปัญหา และสถานการณ์ต่างๆรอบตัว
องค์การอนามัยโลก (1997 : 2) กล่าวว่า เป็นความสามารถที่วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารและประเมินปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลต่อเจตคติและพฤติกรรม เช่น ค่านิยม แรงกดดันจากกลุ่มเพื่อน
ทิศนา แขมมณี และคณะ (ศึกษาธิการ. ... : 40) กล่าวว่า ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ คือ การคิดอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล ผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างกว้างไกลลึกซึ้ง และผ่านการพิจารณากลั่นกรอง ไตร่ตรองทั้งด้านคุณ-โทษ และคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นๆมาแล้ว ผู้ที่รู้จักคิดอย่างมีวิจารณญาณจะสามารถแก้ปัญหาหรือเลือกทางเลือกได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด
นอริส (ชลชัย ทัศกุลณี. 2542 : 39 ; อ้างอิงมาจาก Kintgen & Andrews. 1991) กล่าวว่า ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล และมีการสะท้อนการคิดที่มุ่งสู่การตัดสินใจที่จะทำหรือจะเชื่อ
ยินเกอร์ (Yinger. 1998 : 14) กล่าวว่า ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นกิจกรรมรู้คิดที่เกี่ยวพันกับการประเมินผลลัพธ์ทางการคิด ที่มีความสำคัญต่อการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการสร้างสรรค์ผลลัพธ์ต่างๆอีกทั้งการปรับเปลี่ยนสภาพการณ์เพื่อการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจ
แกงค์ (Gange. 1981 : 87) กล่าวว่า ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์เป็นกระบวนการทักษะภายในที่จะเลือก และนำไปสู่การให้คำนิยามและการแก้ปัญหาใหม่
ทิศนา แขมมณี (2540 : 5) ได้เสนอกระบวนคิดวิเคราะห์วิจารณ์ว่ามีขั้นตอนวิธีการดังนี้
1. ตั้งเป้าหมายในการคิด
2. ระบุประเด็นในการคิด
3. ประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริง และความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งกว้าง ลึก และไกล
4. วิเคราะห์ จำแนกแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ของข้อมูล และเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้
5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้แง่ความถูกต้อง ความเพียงพอและน่าเชื่อถือ
6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือก/คำตอบที่สมเหตุสมผลตามข้อมูลที่มี
7. เลือกทางเลือกที่เหมาะสม โดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมา และคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น
8. ชั่งน้ำหนัก ผลได้ ผลเสีย คุณ-โทษ ในระยะสั้นและระยะยาว
9. ไตร่ตรอง ทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ
10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลข่าวสาร คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มีความสมเหตุสมผลโดยพิจารณาทั้งคุณและโทษ ทำให้ได้มาซึ่งคุณค่า
องค์ประกอบที่ 3 ความตระหนักในตนเอง (self awareness)
มีผู้ให้ความหมายเกี่ยวกับความตระหนักรู้ในตนไว้ดังนี้
สุภาพร ดาวดี (2537 : 40) กล่าวว่า ความตระหนักรู้ในตนเป็นการรู้ตัวหรือการรู้สัมผัสเกี่ยวกับตนเองของบุคคลในสถานการณ์ที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า คือ รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร และกำลังทำอะไรในขณะนั้น โดยอาศัยการมุ่งสนใจเข้าสู่ตนเอง
แฟลแมน (Feldman. 1992 : 3) กล่าวว่า ความตระหนักรู้ในตนเป็นการรู้สัมผัสเกี่ยวกับตนเอง บุคคลอื่น และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น คือรู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร และทำอะไรกับตนเองกับผู้อื่น หรือกับสิ่งอื่นๆในขณะนั้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
โรส (Ross. 1992 : 53) กล่าวว่าความตระหนักรู้ในตนเป็นการตระหนักในตนเองที่เกิดจากความมุ่งสนใจเข้าสู่ตนเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นชั่วคราวตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่มากระตุ้น
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ความตระหนักรู้ในตนเอง หมายถึง ความสามารถในการรู้จักตนเองและยอมรับในตนเอง ทั้งด้านบุคลิกลักษณะ จุดดี จุดด้อย ความต้องการ ไม่ต้องการ ความชอบ ความไม่ชอบ และสามารถประเมินตนเองได้ตามความเป็นจริง
องค์ประกอบที่ 4 ความเห็นใจผู้อื่น (emphaty)
กรมสุขภาพจิต (2543 : 19) กล่าวว่า ความเห็นใจผู้อื่น หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกและเห็นอกเห็นใจบุคคลที่แตกต่างกับเรา อันได้แก่ เพศ วัย ระดับการศึกษา ศาสนา สีผิว ท้องถิ่น สุขภาพ เป็นต้น
กรมวิชาการ (2543 : 6) กล่าวว่าการเห็นใจผู้อื่น หมายถึง การอยู่ร่วมกันในสังคมจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การรู้จักผู้อื่น การมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน และเห็นความดีงามของผู้อื่นตลอดจนสิ่งแวดล้อมเป็นทักษะชีวิตที่จะช่วยให้เรามีความสุขมีขอบข่ายที่สำคัญดังนี้
1. เข้าใจความแตกต่างของบุคคลและรู้ว่าทุกคนมีค่า
2. เข้าใจถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนและการแสดงออกของผู้อื่น
3. เห็นใจและยอมรับบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ
4. รู้จักชื่นชมและซาบซึ้งต่อสิ่งที่ดีงามรอบตัว
5. สำนึกในบุญคุณของผู้มีคุณและสิ่งแวดล้อม
6. รู้หน้าที่ สิทธิและปฏิบัติตนตามกติกาของสังคมด้วยความรับผิดชอบในเรื่องสุขภาพและสาธารณสุข
องค์การอนามัยโลก (1997 : 2) กล่าวว่า เป็นความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกและความเห็นใจบุคคลที่แตกต่างจากเราถึงแม้ว่าเราจะไม่คุ้นเคย ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับความแตกต่างขิงบุคคลอื่น ทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีทางสังคม เช่นความแตกต่างทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม โดยเฉพาะบุคคลที่มีความบกพร่องทางจิตใจ หรือบุคคลที่ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคม
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ความเห็นใจผู้อื่น หมายถึง การรับรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้อื่น จากการสังเกตพฤติกรรม และยอมรับประเด็นอันเนื่องมาจากความแตกต่างระหว่างบุคคลเพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือ แบ่งปันสิ่งของต่อผู้อื่นอย่างเต็มใจ ยอมรับความสามารถของผู้อื่นอย่างจริงใจ รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้อื่นมีความรู้ ความสามารถด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม
องค์ประกอบที่ 5 ความภูมิใจในตนเอง (self esteem)
ความภูมิใจในตนเองเป็นการตัดสินคุณค่าของตน และการแสดงออกในรูปทัศนคติที่บุคคลนั้นมีต่อตนเอง ความรู้สึกภูมิใจในตนเอง เป็นส่วนประกอบหนึ่งของอัตมโนทัศน์ บางครั้งจะใช้คำว่าความนับถือตนเอง การเห็นพ้องตนเอง ความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง (Taylor. 1982 : 120) หรืออาจใช้การปกป้องตนเอง การยอมรับตนเอง (Muhlenkanp and Seyles. 1986 : 334) และได้มีผู้ให้ความหมายของความภูมิใจในตนเอง ไว้ดังนี้
กรมสุขภาพจิต (2543 : 23) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเองเป็นความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เช่น ความมีน้ำใจ รู้จักให้ รู้จักรับ ค้นพบและภูมิใจในความสามารถด้านต่างๆของตนอันได้แก่ ความสามารถในด้านสังคม ดนตรี กีฬา ศิลปะเป็นต้น ซึ่งมิได้มุ่งสนใจแต่ในเรื่องรูปร่าง หน้าตา เสน่ห์ หรือความสามารถทางเพศ การเรียนเก่งเท่านั้น
อัปสรศิริ เอี่ยมประชา (2543 : 12) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเองเป็นการประเมินความเชื่อหรือความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเอง มีความเคารพและยอมรับในตนเองว่ามีความสำคัญ มีความสามารถและใช้ความสามารถที่มีอยู่กระทำสิ่งต่างๆให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางไว้โดยได้รับการยอมรับจากบุคคลในสังคม
สมศักดิ์ เจริญศรี (2543 : 40) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเอง เป็นผลรวมแนวทางที่บุคคลรับรู้และพิจารณาตัดสินด้วยตัวเองจากการยอมรับของสังคม ความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับจากบุคคลอื่นทั้งในครอบครัว เพื่อน ในการกระทำของตนเอง
พิสมัย สุขอมรรัตน์ (2540 : 43) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเองเป็นความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเองว่าตนเองมีความสำคัญ มีความสามารถในการกระทำสิ่งต่างๆให้ประสบความสำเร็จ ตลอดจนมีความเชื่อมั่นว่าตนเองได้รับการยกย่องนับถือจากเพื่อนฝูง ครอบครัวและสังคม
วัฒนา มัคสมัน (2539 : 16) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเอง เป็นการที่บุคคลรับรู้ถึงลักษณะของตนเอง ประเมินลักษณะของตนเอง จากผลการประเมินแล้วยอมรับเชื่อมั่นและชื่นชมในคุณค่าของตนเองในด้านความสามารถ ความสำคัญ ความสำเร็จ ความมีคุณค่าและขณะเดียวกันก็ยอมรับข้อจำกัดของตน แล้วแสดงออกในรูปของความรู้สึก ทัศนคติที่มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมซึ่งผู้อื่นสามารถสังเกตและรับรู้ได้
อีเมอร์รี และคณะ (Emery and other. 1993 : 224-225) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเองเป็นการประเมินคุณค่าของตนเองของบุคคลในประสบการณ์ 3 ส่วน คือ ความรู้สึกถึงคุณค่าของตนต่อกลุ่มเพื่อน ต่อครอบครัว และต่อโรงเรียน
คูเปอร์สมิท (Corpersmith. 1984 : 5) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเองเป็นการประเมินคุณค่าของตนเอง แสดงถึงทัศนคติทั้งด้านบวกและด้านลบ เป็นการตัดสินคุณค่าแห่งตนทำให้บุคคลนั้นรู้สึกว่าตนมีความสามารถ ความสำคัญ ประสบความสำเร็จและมีคุณค่า ซึ่งสังเกตได้จากคำพูดและพฤติกรรมที่แสดงออก
บราเดอร์ (Brander. 1981 : 110) กล่าวว่า ความภูมิใจในตนเองเป็นลักษณะของความเชื่อมั่นในความมีคุณค่าของตนเอง ความมั่นใจในความสามารถของตนที่กระทำสิ่งใดให้สำเร็จได้ตามความพอใจ
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ความภูมิใจในตนเอง หมายถึง การรับรู้เกี่ยวกับคุณค่าของตนเองทั้งทางบวกและทางลบ โดยประเมินจากประสบการณ์ในอดีต และการยอมรับจากกลุ่ม มีความเชื่อมั่นที่จะแสดงความสามารถที่เป็นประโยชน์โดยไม่ไหวหวั่นต่อการตัดสินและประเมินคุณค่าตนเองจากรูปร่างหน้าตาโดยผู้อื่น ตลอดจนมีกำลังที่จะค้ำจุนจิตใจให้ต่อสู้และพัฒนาความสามารถของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
องค์ประกอบที่ 6 ความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility)
กรมสุขภาพจิต (2543 : 19) กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และมีส่วนรับผิดชอบในความเจริญหรือเสื่อมของสังคม ความรับผิดชอบต่อสังคมมีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความภูมิใจในตนเอง เพราะหากคนเรามีความภูมิใจในตนเอง คนเหล่านั้นก็มีแรงจูงใจที่จะทำดีกับผู้อื่นและสังคม
กรมสามัญศึกษา (...) กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคม ประกอบด้วยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆของชุมชนและสังคม บำเพ็ญประโยชน์และสร้างสรรค์ความเจริญให้ชุมชนอย่างเต็มความสามารถ ช่วยสอดส่องพฤติกรรมของบุคคลที่จะเป็นภัยต่อสังคม ให้ความรู้ สนุกสนาน เพลิดเพลิน แก่ประชาชนตามความสามารถของตน ช่วยคิดและแก้ปัญหาต่างๆของสังคม
กรมวิชาการ (2543 : 6) กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง ความรู้สึกของบุคคล ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สามารถทำประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ โดยรู้วิธีและปฏิบัติตัวเพื่อรักษาไว้ซึ่งสาธารณสมบัติ ช่วยเหลือสอดส่องบุคคลที่เป็นภัยต่อ เห็นคุณค่าของการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทย
ให้ดำรงอยู่และเคารพในกฎระเบียบข้อบังคับของสังคมตลอดมีความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะแสดงพฤติกรรมอันพึงปรารถนาของสังคม
พรชัย รอดสมจิต (จันทร์จิรา มูลเมือง. 2534 : 3 ; อ้างอิงมาจาก พรชัย รอดสมจิต. 2527 : 11) กล่าวถึงความรับผิดชอบต่อสังคมไว้ว่าเป็นสิ่งที่บุคคลได้รับรู้ หรือปฏิบัติในสิ่งต่อไปนี้ 1) ความสำนึกในการความผิดชอบต่อหน้าที่พลเมือง เช่น ปฏิบัติตามระเบียบของสังคม 2) ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อครอบครัว เช่น ไม่นำความเดือดร้อนมาให้ครอบครัว 3) ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อโรงเรียน ครู-อาจารย์ เช่น ปฏิบัติตนให้อยู่ในกฎข้อบังคับของโรงเรียน 4) ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อเพื่อน เช่น ช่วยตักเตือนและแนะนำเมื่อเห็นเพื่อนทำผิด ช่วยเหลือเพื่อนตามความถูกต้องและเหมาะสมให้อภัยเพื่อนที่ทำผิดเป็นต้น
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง ความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และมีส่วนรับผิดชอบในความเจริญหรือความเสื่อมของสังคม ความรับผิดชอบต่อสังคม มีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความภูมิใจในตน เพราะหากคนเรามีความภูมิใจในตน คนเหล่านี้ก็มีแรงจูงใจที่จะทำดีกับผู้อื่นและสังคม
องค์ประกอบที่ 7 ทักษะการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร (interpersonal relationship and communication skills)
การสร้างสัมพันธภาพระหว่าบุคคลเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนทุกคนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ระหว่างเพื่อน สัมพันธภาพที่ดีมีแนวโน้มให้บุคคลเกิดการตอบสนองต่อกันในทางบวก ทำให้บุคคลมีความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เข้าใจกัน ยอมรับกัน มีความจริงใจต่อกันสามารถยอมรับสิ่งต่างๆได้ตามจริงและสามารถทำให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Koontz and O’Donnel. 1968 : 4) ซึ่งการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับการสื่อสาร หรืออาจกล่าวได้ว่าสัมพันธภาพระหว่างบุคคลปราศจากการสื่อสารไม่ได้ (Beach. 1970 : 11)
แนวคิดการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ดังนี้
นุชนาฏ ศิริพล (2540 : 23) กล่าวว่า การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเป็นปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เกิดความสอดคล้องระหว่างประสบการณ์ การตระหนักรู้และการสื่อสาร
มิลทอล (Milton. 1981 : 196) กล่าวว่า การสร้างสัมพัธภาพระหว่างบุคคลเป็นขอบเขตทั้งหมดของการกระทำของคนที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคล ซึ่งปฏิสัมพันธ์กันเสมือนถูกรวมไว้ในความสัมพันธ์ของการติดต่อสื่อสารกัน การร่วมมือกัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการยอมรับซึ่งกันและกัน รวมทั้งการแก้ปัญหาและการจูงใจ
รูบเอน (Ruben. 1984 : 249) กล่าวว่า การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเป็นการสร้างความสนิทสนมและความลงรอยกันในระหว่างบุคคล ซึ่งอาจเป็นเพื่อน คู่รัก ครูกับนักเรียน สามีภรรยา หรือนายจ้างกับลูกจ้างเป็นต้น
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า การสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการเป็นผู้ถ่ายทอดและผู้รับ ทั้งคำพูด กิริยา ท่าทางต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้รู้ถึงความปรารถนา รู้จักปฏิเสธ ต่อรอง ขอร้อง และขอความช่วยเหลือ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น มีความเป็นมิตรเอาใจใส่ ร่วมมือให้เกียรติ สามารถถ่ายทอดความรู้สึก แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และยอมรับซึ่งกันและกัน
องค์ประกอบที่ 8 ทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหา (decision making and problem solving skills)
การตัดสินใจมีผู้กล่าวความหมายของการตัดสินใจไว้ดังนี้
โรบิน (Robin. 1991 : 275) กล่าวว่า การตัดสินใจ จะรวมถึงการรับรู้ปัญหา การคิด ปัญหา ค้นหาคำตอบที่เป็นไปได้ ซึ่งจะต้องอาศัยวิธีการ เครื่องมือ การลองผิดลองถูกหรือความหยั่งรู้ได้ และขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายที่ต้องการ เพื่อประเมินความเป็นไปได้หลายๆทางและนำไปสู่การตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
ฮาร์ริสสัน (Harrision. 1981 : 3) กล่าวว่า การตัดสินใจเป็นกระบวนการประเมินผลเกี่ยวกับทางเลือก หรือตัวเลือกที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการคาดคะเนผลที่เกิดจากทางเลือกในการปฏิบัติที่จะส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายในที่สุด
แพทเทอร์สัน (Patterson. 1980 : 107) กล่าวว่า การตัดสินใจเป็นการที่บุคคลเข้าไปเสี่ยง โดยการรวบรวมและประเมินข้อมูลจากทางเลือกหลายทาง และมีสิ่งประกอบอื่นๆที่สำคัญซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจเลือก
บรูซีส และริชาร์ดสัน (พิสมัย สุขอมรรัตน์. 2540 : 18 ; อ้างอิงมาจาก Brucess และ Richardson. 1989) กล่าวว่า การตัดสินใจ เป็นส่วนหนึ่งของทักษะการป้องกัน (protective skills) และการที่บุคคลจะสุขภาพดีขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เชื่อมโยงกับสุขภาพ คือ มีการประเมินทางเลือกต่างๆมีการวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสียของแต่ละทางเลือก และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เป็นผลดีแก่สุขภาพมากที่สุด
ดุษฎี เจริญสุข (2540 : 4) กล่าวว่า การตัดสินใจเป็นความสามารถที่เป็นกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในการพิจารณาเลือกแนวทางในการปฏิบัติต่อสถานการณ์ในสถานการณ์หนึ่งที่จะนำไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า การตัดสินในและการแก้ปัญหา หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ปัญหา สาเหตุ หาทางเลือก วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของทางเลือก ประเมินทางเลือก ตัดสินใจเลือก และลงมือแก้ปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสม
องค์ประกอบที่ 9 ทักษะการจัดการกับอารมณ์และความเครียด (coping with emotion and stress skill)
ดราเปอร์ (Draper. 1990 : 415) กล่าวว่า อารมณ์เป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนประกอยด้วยลักษณะอย่างน้อย 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) เป็นผลของประสบการณ์อันเกิดจากการเรียนรู้ของบุคคล 2) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสมองและระบบประสาท และ 3) มีรูปแบบและสามารถสังเกตเห็นได้ โดยเฉพาะการปรากฏทางใบหน้าของผู้แสดงอารมณ์
พิสมัย สุขอมรรัตน์ (2542 : 26) ได้กล่าวว่า ความเครียดเป็นการตอบสนองของบุคคลต่อการสูญเสียความสมดุลภายในระบบของบุคคล ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกาย
กรมสุขภาพจิต (2539 : 1) กล่าวว่า ความเครียดเป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากความตื่นตัวเตรียมรับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่พึงพอใจและเป็นเรื่องที่เราคิดว่าหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจและอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายขึ้นด้วย
กาญจนา เดชคุ้ม (2541) กล่าวว่า ความเครียดเป็นภาวะทางจิตใจของบุคคลเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา หรือเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม ซึ่งอาจมีสาเหตุจากภายในตัวบุคคลหรือภายนอกตัวบุคคลก็ได้ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม
ราสาร์ส และ ฟอร์คแมน (Lazarus and Folkman. 1984 : 21) กล่าวว่า ความเครียดขึ้นอยู่กับบุคคลและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน การตัดสินใจภาวะความเครียดของบุคคลจะต้องผ่านกระบวนการประเมิน โดยใช้สติปัญญา (cognitive appraisal) ว่าอิทธิพลนั้นเกินขีดความสามารถของตนในการที่จะต่อต้านได้
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า การจัดการกับอารมณ์และความเครียด หมายถึง ความสามารถในการประเมินอารมณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของตน รู้จักใช้วิธีจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้เหมาะสม และเป็นความสามารถที่จะรู้สาเหตุของความเครียด เรียนรู้วิธีการควบคุมระดับของความเครียด รู้วิธีผ่อนคลายและหลีกเลี่ยงสาเหตุ พร้อมทั้งเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น